จับพิรุธร่องรอย “ความผิดปกติ” ในการประมูล 3G ส่อเอื้อประโยชน์ “ผู้ประกอบการ” อย่างเป็นระบบ 
 การประมูลคลื่นความถี่ 2.1 GHz เพื่อให้บริการ 3G  ได้สิ้นสุดลงแล้วในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555  พร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติ อย่างมหาศาลจากการออกแบบการประมูลที่ล้มเหลว  เนื่องจากราคาชนะประมูลสุดท้ายสูงกว่าราคาตั้งต้นการประมูลเพียง 2.78  เปอร์เซ็นต์ หรือขยับขึ้นไปจากราคาตั้งต้นรวมทุกชุดคลื่น 40,500 ล้านบาท  เพียง 1,125 ล้านบาท  สร้างรายได้ต่ำกว่าตัวเลขประเมินรายรับจากการให้อนุญาตใช้คลื่น 2.1 GHz  ที่ทาง กสทช. ว่าจ้างให้ทีมวิจัยจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ คำนวณ ถึง 16,335  ล้านบาท
 
 การไม่แข่งขันด้านราคาประมูลนี้ทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยว่ามีการ “ฮั้ว”  ประมูลเกิดขึ้นหรือไม่ หรือกระทั่งมีข้อวิจารณ์ว่า กสทช.  เป็นผู้จัดฮั้วประมูลผ่านการออกแบบกฎกติกาที่ไม่เอื้อต่อการแข่งขันประมูล เสียเอง รายงานชิ้นนี้มุ่งตรวจสอบ “ร่องรอย”  ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในการประมูลครั้งประวัติศาสตร์นี้  ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการประมูลครั้งนี้น่าจะถูกออกแบบมาเพื่อเอื้อประโยชน์ ต่อภาคเอกชนมากกว่าผลประโยชน์ของภาครัฐและสังคม “อย่างเป็นระบบ”  หาใช่สิ่งที่ กสทช. คาดเดาไม่ได้
 1.    ความผิดปกติในการกำหนดราคาตั้งต้น
 สำหรับผู้ติดตามกระบวนการกำหนดนโยบายของการประมูลคลื่น 2.1 GHz  ครั้งนี้มาตลอด การกำหนดราคาตั้งต้นประมูลที่ 4,500  ล้านบาทนั้นน่าจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะเป็นสิ่งที่ ดร.เศรษฐพงค์  มะลิสุวรรณ ประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.)  ให้สัมภาษณ์กับสื่อมาตลอดว่าราคาตั้งต้นประมูลไม่ควรสูงเกินไปและไม่ควรเกิน  5,000 ล้านบาท ตั้งแต่ก่อนที่ทีมวิจัยจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ  จะนำเสนอผลการศึกษาให้กับคณะอนุกรรมการฯ  และก่อนที่จะมีการถกเถียงเพื่อหามติร่วมในที่ประชุมอนุกรรมการฯ  ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2555 ด้วยซ้ำ
 
 ในเดือนมีนาคม 2555 ซึ่งยังไม่ได้มีการแต่งตั้งอนุกรรมการฯ  เพื่อสนับสนุนการเตรียมความพร้อมประมูล ดร.เศรษฐพงค์ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า  ราคาตั้งต้นการประมูลนั้นไม่ควรสูงเท่ากับการประมูลครั้งก่อนหน้าที่ กทช.  เป็นผู้ออกแบบไว้ในปี 2553 คือ 12,800 ล้านบาท (ต่อ 15 MHz)  โดยอ้างว่าเทคโนโลยี 3G มีราคาถูกลง และเสนอราคาตั้งต้นที่ 7,000–10,000  ล้านบาทต่อ 15 MHz หรือประมาณ 2,300–3,300 ล้านบาทต่อ 5 MHz เท่านั้น   ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้ตั้งอยู่บนผลการศึกษาหรือหลักฐานใดๆ เลย  ซึ่งในภายหลังก็ปรากฏว่าผู้ประกอบการอย่างน้อย 2 ราย  ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่ามีความเต็มใจที่จะจ่ายในราคาที่สูงกว่าราคาตั้งต้น การประมูลครั้งก่อนหน้า  การนำเสนอตัวเลขที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมากในครั้งนั้นอาจสะท้อนให้เห็นทัศนะ พื้นฐานหรือ “ความเชื่อ” โดยไม่อยู่บนฐานข้อมูลหลักฐานใดๆ ของประธาน กทค.  ที่ส่งผลให้เกิดการเอื้อประโยชน์ต่อภาคเอกชน
 
 
 ต่อมาในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2555 ดร.เศรษฐพงค์ได้ออกมาให้ข่าวว่า  ราคาตั้งต้นควรใกล้เคียงกับการประมูลครั้งก่อนหน้า หรือประมาณ 4,000-5,000  ล้านบาทต่อชุดคลื่น 5 MHz  โดยอ้างว่าเป็นข้อเสนอของคณะอนุกรรมการฯ  อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากรายงานการประชุมของคณะอนุกรรมการฯ กลับชี้ให้เห็นว่า  ในช่วงเวลาที่ ดร.เศรษฐพงค์ให้สัมภาษณ์  ทางทีมวิจัยซึ่งรับหน้าที่ในการหาราคาตั้งต้นยังไม่ได้เข้ามานำเสนอผลการ ศึกษาให้กับคณะอนุกรรมการฯ (นำเสนอวันที่ 19 มิถุนายน 2555)  และยังไม่ได้มีการหารือเพื่อหามติร่วม (มีการกำหนดราคาตั้งต้นวันที่ 25  มิถุนายน 2555) นอกจากนั้น ในช่วงเช้าของวันที่ 25 มิถุนายน 2555  ก่อนที่จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการฯ เพื่อสรุปราคาตั้งต้น  ดร.เศรษฐพงค์ได้อ้างว่าทางทีมวิจัยเสนอให้กำหนดราคาตั้งต้นจาก 67%  ของราคาประเมิน ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ “มีแนวโน้ม”  ที่จะเลือกตัวเลขประเมินมูลค่าคลื่นที่ 6,440 ล้านบาท  (ในร่างรายงานการศึกษาของทีมวิจัยเสนอไว้ที่ 6,770 ล้านบาท  ก่อนจะมีการเปลี่ยนกลับมาที่ 6,440 ล้านบาทในรายงานฉบับสมบูรณ์)  ดังนั้นราคาตั้งต้นควรจะอยู่ที่ 4,200-4,300 ล้านบาท   ซึ่งเป็นการคาดการณ์ทุกอย่างก่อนการประชุมได้อย่างค่อนข้างแม่นยำ  ด้วยเหตุนี้ การอ้างราคาตั้งต้นดังกล่าวจึงน่าจะแสดงให้เห็นว่าอาจมีการตั้ง  “ธง” ตัวเลขของ ดร.เศรษฐพงค์  โดยไม่ได้ผ่านการรับฟังผลการศึกษาและการถกเถียงในที่ประชุมของคณะอนุกรรม การฯ ที่แต่งตั้งขึ้นมาเพื่อให้ความเห็น
 
 นอกจากการให้สัมภาษณ์ดังกล่าว รายงานการประชุมของคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่  10 ซึ่งถกเถียงกันถึงการกำหนดราคาตั้งต้นการประมูล  มีประเด็นที่ชวนให้เกิดข้อสงสัย คือแม้คณะวิจัยจากเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ  ได้ยกตัวเลข 0.67  ซึ่งมาจากค่าเฉลี่ยสัดส่วนระหว่างราคาตั้งต้นและราคาชนะการประมูลของ 17  ประเทศ (ในรายงานฉบับสมบูรณ์คำนวณจาก 13 ประเทศ)  ทว่าทางคณะวิจัยไม่ได้เสนอให้ใช้ตัวเลขดังกล่าวในการคำนวณราคาตั้งต้นแต่ อย่างไร การเสนอให้ใช้ตัวเลขดังกล่าวเป็นของคณะอนุกรรมการฯ ท่านอื่น อาทิ  นายจิตรนรา นวรัตน์ ดร.เชิดชัย ขันธ์นะภา พลเอกสุกิจ ขมะสุนทร และ  ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ  ซึ่งก็ชวนให้ตั้งคำถามต่อไปว่าเหตุใดคณะอนุกรรมการเหล่านั้นจึงรวบรัดเสนอ ตัวเลข 0.67 ที่ไม่ได้เป็นข้อเสนอของทางคณะวิจัยในที่ประชุม  และเหตุใดคณะอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านจึงยอมรับตัวเลข 0.67  ซึ่งเป็นการคำนวณจากกรณีการประมูลของต่างประเทศที่มีเงื่อนไขการประมูล  พื้นฐานทางเศรษฐกิจ และตลาดโทรคมนาคม ที่แตกต่างจากของไทย
 ร่องรอยความผิดปกติดังกล่าวทำให้อดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่า  การกำหนดราคาตั้งต้นที่ 4,500 ล้านบาท มีการตั้ง “ธง”  ล่วงหน้าไว้ก่อนหรือไม่
 
 2.    ความผิดปกติในการตัดสินใจลดเพดานถือครองคลื่นจาก 20 MHz เหลือ 15 MHz
 ในการออกแบบการประมูลก่อนรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ ทางคณะอนุกรรมการฯ  กำหนดเพดานถือครองคลื่นความถี่ไว้ที่ 20 MHz ด้วยเหตุผลว่า  ในการประมูลที่คาดการณ์ได้ว่าจะมีผู้เข้าประมูล 3 ราย และมีคลื่นทั้งหมด 45  MHz การกำหนดเพดานไว้ที่ 20 MHz  อาจทำให้ผู้ประกอบการบางรายแข่งประมูลเพื่อให้ได้จำนวนคลื่นความถี่มากกว่า รายอื่น ขณะที่การปรับลดเพดานถือครองคลื่นเหลือเพียง 15 MHz  จะทำให้เกิดการแบ่งชุดคลื่นลงตัว 3 ราย  และไม่มีการแข่งขันประมูลเพราะอุปสงค์เท่ากับอุปทาน  เป็นเสมือนการแจกใบอนุญาตในราคาตั้งต้นมากกว่าการประมูล  ดังที่  ดร.เศรษฐพงค์เคยกล่าวกับสื่อว่า หากกำหนดไว้ที่ 15 MHz  จะทำให้ไม่เกิดการแข่งขันหากมีผู้เข้าประมูล 3 ราย   
 ภายหลังการรับฟังความคิดเห็น  โดยเฉพาะจากผู้ประกอบการรายเดิมทั้งสามรายที่ต่างเห็นพ้องว่าคลื่น 15 MHz  เพียงพอต่อความต้องการ กทค.  จึงได้ตัดสินใจปรับลดเพดานถือครองคืนความถี่เหลือ 15 MHz  ด้วยเหตุผลว่าไม่ต้องการให้เกิดกรณีที่มีเจ้าใหญ่สองราย (AIS และ DTAC)  ได้คลื่นไปเจ้าละ 20 MHz เพื่อกักตุน และเหลือคลื่นเพียง 5 MHz  ให้กับรายเล็ก (True) ซึ่งไม่เพียงพอต่อการแข่งขัน 
 การตัดสินใจทางนโยบายดังกล่าว  ซึ่งสร้างเงื่อนไขที่ปราศจากการแข่งขันประมูล  ส่อพิรุธไปในทางเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการบางราย ดังนี้
 1.    ในการปรับเปลี่ยนสำคัญที่มีผลต่อการกำหนดผลการประมูล เหตุใดทาง กทค.  จึงไม่นำเรื่องดังกล่าวไปหารือกับทางคณะอนุกรรมการฯ อีกครั้งหนึ่ง  แต่กลับเลือกรับฟังผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ประโยชน์จากข้อเสนอดัง กล่าวโดยตรง ทั้งที่ ดร.เศรษฐพงค์อ้างกับสื่อมาตลอดว่า  การตัดสินใจทุกอย่างนั้นได้ผ่านการพิจารณาของอนุกรรมการฯ  ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย หรือเห็นว่าคณะอนุกรรมการฯ  ได้มีมติในที่ประชุมแล้วว่าการกำหนดเพดานถือครองคลื่นไว้ที่ 15 MHz  จะสร้างเงื่อนไขที่ทำให้ไม่เกิดการแข่งขันประมูล เพราะอันที่จริง  ข้อเสนอและเหตุผลให้กำหนดเพดานประมูลคลื่นไว้ที่ 15 MHz ทางคณะอนุกรรมการฯ  ก็ได้รับฟังจากผู้ประกอบการ โดยเฉพาะจาก True  ในการประชุมก่อนหน้าที่จะมีการลงมติแล้ว  แต่ก็ยังยืนยันเป็นมติร่วมว่าควรกำหนดเพดานไว้ที่ 20 MHz
 2.    ในการให้สัมภาษณ์ในงาน Thailand 3G Gear Up 2012: Declaring Auction  Procedure for 3G on 2.1 GHz วันที่ 5 มิถุนายน 2555  ดร.เศรษฐพงค์แสดงให้เห็นว่าอาจมีการตั้งธงที่ต้องการให้ปรับลดเพดานลงมา เหลือ 15 MHz ตั้งแต่ก่อนกระบวนการรับฟังความคิดเห็น โดยกล่าวในทำนองว่า  ส่วนตัวแล้วต้องการให้ปรับลดเพดานเหลือ 15 MHz  ทว่าตนทำงานในรูปแบบคณะกรรมการจึงไม่สามารถใช้ความคิดส่วนตัวได้  แต่ถ้าอุตสาหกรรมโทรคมนาคมยืนยันและให้เหตุผล ทางคณะกรรมการก็คงต้องรับฟัง 
 3.    เหตุผลที่อ้างว่าคลื่นเพียง 5 MHz ไม่เพียงพอต่อการแข่งขันนั้น  ขัดแย้งกับเหตุผลที่ กทค. ใช้เพื่อสนับสนุนการออกแบบวิธีประมูลโดยแบ่งคลื่น  45 MHz ออกเป็น 9 ชุด ชุดละ 5 MHz นั่นคือ คลื่น 5 MHz  เป็นขนาดคลื่นที่เพียงพอต่อการให้บริการ 3G   และเปิดโอกาสให้ทุนขนาดเล็กมีโอกาสเข้ามาประมูลคลื่นเพียง 1 ชุดได้  โดยอาจเน้นให้บริการในเขตเมืองเป็นหลักหรือให้บริการบนเครือข่ายเสมือน  (Mobile Virtual Network Operator หรือ MVNO) เพื่อให้เกิดการแข่งขันในตลาด  (แม้ว่าทาง นพ. ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา จะค้านว่า 5 MHz  ไม่เพียงพอต่อการให้บริการก็ตาม) ด้วยเหตุนี้  การปรับลดเพดานด้วยเหตุผลเพื่อปกป้องผู้ประกอบการรายที่สามไม่เพียงแต่ขัด แย้งกับข้อมูลและเหตุผลที่ให้กับสังคมก่อนหน้า แต่ยังอาจสะท้อนได้ว่า กทค.  สนใจผลประโยชน์ของผู้ประกอบการเจ้าเดิมบางรายมากกว่าเปิดโอกาสให้มีรายใหม่ เข้ามาในตลาดอย่างแท้จริง
 
 3.    ความผิดปกติเกี่ยวกับจำนวนผู้เข้าประมูล
 ข้ออ้างหนึ่งที่ กทค.  ใช้อยู่เสมอในการกำหนดราคาตั้งต้นต่ำกว่าราคาประเมินที่เสนอโดยคณะวิจัยคือ  กทค. ไม่อาจคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าประมูลเพียงสามราย  และไม่ควรออกแบบการประมูลเพื่อให้เข้ากับกรณีนั้นเป็นการเฉพาะ  แต่จากการตรวจสอบของคณะทำงานติดตาม กสทช. กลับพบว่า  ดร.เศรษฐพงค์เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อหลังการกำหนดเพดานคลื่น 20 MHz  และราคาขั้นต่ำ 4,500 ล้านบาทว่า “สำหรับราคาเริ่มต้นการประมูลนี้  และวิธีการประมูลนี้ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมประมูล 3 ราย คือ บริษัท  แอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANCE บริษัท โทเทิ่ล  แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC และบริษัท ทรู  คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE..”  นอกจากนั้น  การตัดสินใจออกแบบประมูลของ กทค.  ที่ผ่านมาล้วนสะท้อนให้เห็นว่ามีฐานคิดจากการคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าร่วม ประมูลเพียง 3 ราย ดังนี้
 1.    กทค. ตัดสินใจยกเลิกสูตรประมูล N-1 และการให้ใบอนุญาตตายตัว 3 ใบ  ใบละ 15 MHz ซึ่งเป็นสูตรที่ออกแบบเพื่อใช้การประมูลก่อนหน้าโดย กทช.  ด้วยเหตุผลว่า ในกรณีที่มีผู้เข้าประมูล 3 ราย  จะมีผู้ประมูลได้ใบอนุญาตไปเพียง 2 ราย (3-1) ซึ่งส่งผลต่อการแข่งขันในตลาด   และเป็นการบริหารคลื่นความถี่อย่างไม่มีประสิทธิภาพในภาวะที่ความต้องการใช้ บริการข้อมูลเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น  หากมีการประมูลใบอนุญาตที่เหลืออีกหนึ่งใบในภายหลัง  ผู้ประมูลจะเหลืออยู่เพียงรายเดียวและได้คลื่นไปในราคาที่ถูก  เหตุผลดังกล่าว ซึ่งทั้ง ดร.เศรษฐพงค์ และ ดร.สุทธิพล รวมถึง ดร.พัชรสุทธิ์  สุจริตตานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบประมูล  ได้เคยออกมาให้สัมภาษณ์ทำนองเดียวกัน  น่าจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า กทค.  ออกแบบนโยบายบนฐานคิดว่ามีผู้เข้าร่วมประมูล 3 รายมาตลอด 
 2.    การลดเพดานถือครองคลื่นเพื่อหลีกเลี่ยงผลการประมูล 20-20-5  และป้องกันรายเล็กที่สุดในสามเจ้าหลักได้คลื่นไปไม่เพียงพอต่อการให้บริการ  ก็แสดงให้เห็นว่า กทค. คาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าร่วมการประมูลเพียง 3  รายเช่นกัน
 
 4.    ข้อพิรุธจากรายงานฯ ของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ
 กทค.  อ้างรายงานการประเมินมูลค่าคลื่นความถี่และมูลค่าขั้นต่ำของการอนุญาตให้ใช้ คลื่นความถี่ IMT ย่าน 2.1 GHz ที่จัดทำโดยทีมวิจัยจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ  ในการกำหนดราคาตั้งต้นการประมูลที่ 4,500 ล้านบาทต่อ 5 MHz  โดยไม่สนใจข้อโต้แย้งของสังคมที่มีต่อตัวเลขดังกล่าว คณะทำงานฯ  พบว่ามีข้อสงสัยที่เกี่ยวข้องกับรายงานที่ถูกกล่าวอ้างเพื่อใช้ปกป้อง กทค.  มาตลอด ดังนี้
 1.     รายงานฉบับนี้ยังไม่เคยได้รับการตีพิมพ์หรือเผยแพร่ให้ผู้มีส่วนได้เสียและ ประชาชนได้อ่านและวิพากษ์วิจารณ์ทั้งก่อนและหลังขั้นตอนการรับฟังความคิด เห็น ซึ่งอาจเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 59 ของ พรบ.  องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553
 2.     รายงานดังกล่าวจัดทำขึ้นภายใต้เงื่อนไขการประมูลที่กำหนดเพดานถือครองคลื่น ความถี่ไว้ที่ 20 MHz (มีการจัดทำรายงานฯ ในช่วงปลายเดือนเมษายน 2555  และนำเสนอผลการศึกษาเดือนมิถุนายน 2555)  ซึ่งนับเป็นการออกแบบที่สนับสนุนการแข่งขันประมูล  แต่ในภายหลังเมื่อมีการปรับลดเพดานลงมาเหลือ 15 MHz (กลางเดือนสิงหาคม  2555) ซึ่งทำให้ไม่เกิดการแข่งขันประมูล  เงื่อนไขดังกล่าวไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อจัดทำข้อเสนอด้วย
 3.    การเลือกหยิบบางส่วนของรายงานมาใช้เพื่อสนับสนุนจุดยืนทางนโยบายของ  กทค. เอง ในขณะที่ข้อเสนอบางส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ  ข้อยืนยันว่าราคาค่าประมูลไม่มีผลกระทบกับค่าบริการของผู้บริโภค  กลับไม่ได้รับการกล่าวถึง เพราะขัดกับข้อโต้แย้งของ กทค.
 4.     วิธีการคำนวณมูลค่าคลื่นความถี่ได้รวมประสบการณ์การประมูลจากต่างประเทศ  ซึ่งมีทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว ตัวเลข 6,440 ล้านบาท  จึงเป็นตัวเลขประเมินการรายรับมากกว่าตัวเลขสูงสุดหากมีการแข่งขันประมูล เต็มที่ เพราะได้รวมประสบการณ์ที่ล้มเหลวไว้แล้ว  ด้วยเหตุนี้จึงเหมาะสมที่จะนำมาใช้กำหนดราคาตั้งต้นมากกว่าตัวเลข 4,500  ล้านบาท
 5.    มีการนำเสนอโมเดลทางคณิตศาสตร์ที่สะท้อนให้เห็นว่า  หากมีการประมูลของ 1 ชิ้น  ปัจจัยของจำนวนผู้เข้าร่วมประมูลจะมีส่วนในการกำหนดสัดส่วนระหว่างราคาตั้ง ต้นและราคาชนะการประมูลเท่าไร ซึ่งในกรณีของไทยนั้น  การประมูลมีผู้เข้าร่วมเพียงสามราย และมีของในการประมูลสามชิ้น  (เพราะแต่ละรายประมูลได้สูงสุด 3 ชุดคลื่น จาก 9 ชุดคลื่น)  จึงถือว่ามีสัดส่วนเท่ากับ 1.0 หรือราคาตั้งต้นในกรณีนี้ควรจะอยู่ที่ 100  เปอร์เซ็นต์ของราคาคลื่นที่คาดว่าควรได้รับ  เพราะจะไม่มีการแข่งขันเพื่อขยับราคาไปตามราคาตลาด  และต่อให้มีผู้เข้าประมูลมากกว่า 3 ราย (เช่น มีผู้ประมูล 5 รายดังที่  ดร.สุทธิพลคาดหวังไว้) สัดส่วนการตั้งราคาก็ควรอยู่ที่ 0.9   โมเดลดังกล่าวถูกละเลยจากทาง กทค. และกลับไปเลือกตัวเลข 0.67  ซึ่งขาดที่มาที่ไปทางวิชาการที่เข้มแข็งพอ
 6.    ทั้งที่ถูกตั้งคำถามมากมาย เหตุใดทางทีมวิจัยจากคณะเศรษฐศาสตร์  จุฬาฯ จึงไม่เคยออกมาชี้แจงข้อกังขาของสังคมทั้งก่อนและหลังการประมูล
 
 5.    ความผิดปกติจากคำกล่าวอ้างเรื่องสิทธิในการเลือกย่านความถี่จะกระตุ้นให้เกิดการแข่งขัน
 ข้อกล่าวอ้างของ กทค. โดยเฉพาะ ดร.เศรษฐพงค์  ที่ออกมายืนยันอย่างหนักแน่นหลังการปรับลดเพดานการถือครองคลื่นความถี่เหลือ  15 MHz คือแม้จะมีผู้เข้าประมูลสามราย  แต่ทั้งสามรายก็จะแข่งกันเพื่อให้ได้สิทธิในการเลือกย่านความถี่ก่อน  โดยย่านความถี่ริมสุดที่ติดกับผู้ประกอบการรายอื่นเพียงด้านเดียวเป็นย่าน ที่ดีที่สุด ดังที่ ดร.เศรษฐพงค์กล่าวว่า “ถ้าไม่ได้สิทธิเลือกสลอตนี้ก่อน  คนอื่นอาจจะต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มอีก 1,000 ล้านบาท”   (คำกล่าวนี้นอกจากจะได้รับการพิสูจน์ว่าไม่จริงในการเลือกย่านคลื่นที่เกิด ขึ้นจริง ทว่าหากย่านดังกล่าวมีมูลค่าเพียง 1,000 ล้านบาทจริง  ก็ไม่ควรคาดหวังว่าสิทธิดังกล่าวจะทำให้เกิดการแข่งขันประมูลมากดังที่กล่าว อ้าง)
 อย่างไรก็ตาม ผลที่ออกมากลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่  ดร.เศรษฐพงค์ยืนยันตลอดมา กล่าวคือ AIS เลือกช่วงคลื่นที่ติดกับ TOT (1950  MHz - 1965 MHz และ 2140 MHz - 2155 MHz) (โดยผู้บริหารของ AIS  ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่าเป็นช่วงคลื่นที่มีการรบกวนน้อยที่สุด และติดกับ TOT  ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันมายาวนาน)  ส่วน True  ที่มีสิทธิเลือกอันดับสองกลับเลือกคลื่นตรงกลางที่ติดกับรายอื่นทั้งสองด้าน  (1935 MHz – 1950 MHz และ 2125 MHz – 2140 MHz)  เหลือย่านคลื่นที่อ้างว่าดีที่สุดให้กับ DTAC (1920 MHz – 1935 MHz และ  2110 MHz – 2125 MHz) ได้ไปโดยไม่ต้องแข่งขันอะไร
 ผลการเลือกย่านความถี่ที่ออกมาพิสูจน์ว่า  ผู้ประกอบการไม่ได้เห็นความแตกต่างระหว่างย่านความถี่ดังที่ ดร.เศรษฐพงค์  กล่าวอ้างมาตลอด รวมถึงยังยืนยันถึงข้อพิรุธที่เกี่ยวข้องดังนี้
 1.    การศึกษาของทางสำนักงาน กสทช.  ไม่ปรากฏข้อมูลที่ยืนยันว่าสิทธิในการเลือกย่านความถี่จะช่วยให้เกิดการแข่ง ประมูลดังที่กล่าวอ้าง อีกทั้งรายงานการประชุมของอนุกรรมการฯ  ก็ไม่ได้มีการถกเถียงหรือยืนยันความสำคัญของสิทธิเลือกย่านความถี่ต่อการ ประมูลมากนัก  หากเชื่อว่าประเด็นดังกล่าวมีความสำคัญถึงขั้นส่งผลต่อการแข่งขันประมูล  ทฤษฎีความแตกต่างของย่านคลื่นความถี่จึงเป็นข้อกล่าวอ้างของ  ดร.เศรษฐพงค์เป็นหลัก ไม่ได้มีการรับรองใดๆ จากทางสำนักงานของ กสทช.  คำถามคือเหตุใดทาง  ดร.เศรษฐพงค์จึงต้องวิ่งหางานวิจัยจากภายนอกเพื่อมาสนับสนุนการตัดสินใจ อย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้ใช้ช่องทางของ กสทช. ไม่ว่าจะผ่านอนุกรรมการฯ  หรือการศึกษาของสำนักงาน หากเห็นว่าย่านคลื่นเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญ
 2.    ทาง  ดร.เศรษฐพงค์ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนหลังการเลือกย่านคลื่นเสร็จสิ้นว่า  ตนมีคำอธิบายอยู่ในใจแล้วว่าทำไมผู้ประกอบการถึงไม่เลือกย่านที่ดีที่สุด  แต่ยังพูดไม่ได้ในช่วง silent period  คำถามก็คือ  หากมีคำตอบที่คาดเดาได้อยู่แล้ว  ดร.เศรษฐพงค์ใช้เหตุผลอะไรมายืนยันตลอดว่าสิทธิในการเลือกย่านคลื่นก่อนจะ ส่งผลให้เกิดการประมูล จนนำไปสู่การประมูลที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
 ความผิดปกติที่กล่าวมายังไม่รวมถึงข้อพิรุธจากการเร่งรัดการอนุมัติผลการ ประมูลโดยบอร์ดของ กทค. เอง โดยหลีกเลี่ยงไม่เข้าบอร์ดใหญ่ของ กสทช.  และไม่สนใจบันทึกข้อความของนายณกฤช เศวตนันทน์ ที่ปรึกษาประจำด้านกฎหมายของ  ดร.เศรษฐพงค์ ที่เสนอให้ กทค. พิจารณาไม่รับรองผลการประมูล  เนื่องจากเสี่ยงต่อการทำผิดอาญาตาม  พรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ. 2542  การลดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมด้วยการเร่งรีบออกมาประกาศว่าจะให้มีการ ปรับลดอัตราค่าบริการลง 15-20 เปอร์เซ็นต์ (ซึ่ง  นพ.ประวิทย์เคยเสนอไว้ก่อนหน้านี้ที่จะมีการประมูลแล้ว  แต่ก็ไม่ได้มีการทำอะไรอย่างจริงจังจนกระทั่งเกิดกระแสวิพากษ์การประมูล)   โดยไม่ได้ผ่านการประชุมบอร์ด กทค. ก่อน  หรือการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบพฤติกรรมประมูล 3G โดย 4 ใน 7  คนเป็นคนในสำนักงาน กสทช. หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกแบบประมูล 
 
 คณะทำงานติดตาม กสทช. เห็นถึงผลประโยชน์มากมายจากเทคโนโลยี 3G  และคนไทยสมควรมีโอกาสได้ใช้ 3G โดยเร็วที่สุด คณะทำงานฯ  ไม่ต้องการเห็นการล้มประมูล 3G ซึ่งส่งผลให้การให้บริการ 3G ล่าช้าออกไป  เพียงแต่ต้องการให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานขององค์กรอิสระ เช่น  คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  ตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้นในการประมูล  และได้รับข้อมูลที่ชัดเจนในประเด็นที่อาจชี้ให้เห็นความผิดปกติในการออกแบบ การประมูลซึ่งสร้างความเสียหายให้กับประเทศและผู้เสียภาษีมหาศาล    
 
 ครั้งหนึ่ง ดร.เศรษฐพงค์เคยกล่าวว่า “การประมูล 3G ถือเป็นภารกิจเพื่อชาติ  ใครมาขัดขวาง ผมถือเป็นศัตรูของชาติ”  คำถามที่คณะทำงานฯ มีคือ  การออกแบบการประมูลจนก่อให้เกิดข้อสังเกตในเรื่องความผิดปกติมากมาย  และอาจสร้างความเสียหายต่อรัฐและผู้เสียภาษีมากกว่า 16,000 ล้านบาท  จนนำไปสู่การตรวจสอบและฟ้องร้องมากมายที่อาจทำให้การให้บริการ 3G  ล่าช้าลงนั้น จะถือเป็นการกระทำที่เป็น “ศัตรูของชาติ” หรือไม่
คณะติดตามการทำงาน กสทช. (NBTC Watch)
ข้อมูลจาก นสพ.ฐานเศรษฐกิจ 7/11/55
