มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จัดแถลง ‘เปิดโปง 2 บริษัท’ ธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ คิดดอกเบี้ยเกินกม. กำหนด หวังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าจัดการปัญหาในเชิงนโยบาย
สืบเนื่องจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้รับการติดต่อจากกลุ่มพิทักษ์สิทธิลูกหนี้ว่ามีผู้เสียหายที่ทำสัญญากู้ยืมเงินกับ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด และ บริษัท เมืองไทยแคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนกว่า 100 ราย โดยบริษัททั้งสองให้กู้ยืมเงิน โดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด ซึ่งผู้เสียหายได้ตั้งทนายเพื่อดำเนินการฟ้องทั้งสองบริษัทเป็นคดีกลุ่มแล้ว ที่ศาลแพ่ง (รัชดาภิเษก) และ ศาลจังหวัดตลิ่งชัน
วันนี้ (12 กันยายน 2561) เวลา 13.30 น. ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตัวแทนกลุ่มผู้เสียหายจากการกู้เงินและทนายความได้เข้าร่วมแถลงข่าว เพื่อเตือนภัยสังคมและมุ่งหวังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการปัญหาในเชิงนโยบาย
ตัวแทนผู้เสียหาย
นายประสิทธิ์ ป้องเศษ ตัวแทนกลุ่มผู้เสียหายที่กู้เงินกับ บริษัทเงินติดล้อฯ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559 ได้กู้ยืมเงินจำนวน 10,000 บาท และทางบริษัทฯ บังคับให้ทำประกันภัยรถจักรยานยนต์ โดยมีเบี้ยประกันจำนวน 926 บาท ซึ่งได้รับเงินจริงเพียง 9,074 บาท แต่ในสัญญาระบุว่าได้กู้เงิน 10,926 บาท โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 2.50 ต่อเดือน เท่ากับ 30% ต่อปี และผ่อนชำระคืนเป็นรายงวด งวดละ 1,184 บาท ทั้งหมด 12 งวด เป็นเงินทั้งหมด 14,208 บาท รวมทั้งให้มอบคู่มือรถจักรยานยนต์ไว้เป็นประกันการกู้ยืมเงิน จากนั้นได้ชำระเงินงวดแรกในเดือนมีนาคมตามสัญญาจำนวน 1,184 บาท แต่งวดที่สองไม่ได้ชำระ บริษัทฯ จึงส่งหนังสือทวงถาม ตัวเองจึงได้ไปชำระในเดือนพฤษภาคม แต่บริษัทฯ ก็ได้คิดค่าทวงถาม 100 บาทและคิดดอกเบี้ย 253.19 บาท ค่าธรรมเนียม 590.77 บาท ค่าปรับ 11.02 บาท รวมเป็นเงินชำระ 2,480 บาท จึงได้ไปขอความช่วยเหลือจากกลุ่มพิทักษ์สิทธิลูกหนี้ และชำระปิดบัญชีไป 12,600 บาท รวมชำระทั้งสิ้น 16,264 บาท
นายภารดร บาตรโพธิ์ ตัวแทนกลุ่มผู้เสียหายที่กู้เงินกับ บ.เงินติดล้อฯ กล่าวว่า ได้กู้เงินเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2560 จำนวน 15,000 บาท และบังคับให้ทำประกันภัย 500 บาท ได้รับเงินจริงเพียง 14,500 บาท แต่ในสัญญาระบุเงินกู้ 16,145 บาท รวมทั้งกำหนดให้ชำระเป็นรายเดือนงวดละ 1,628 บาท จำนวน 12 งวด ได้ชำระเงินไปจำนวน 4 งวด แต่เมื่อทราบข่าวกลุ่มพิทักษ์สิทธิลูกหนี้จึงนำเงินไปปิดบัญชี
นายวิษณุ สนองเกียรติ ทนายความ
ด้านนายวิษณุ สนองเกียรติ ทนายความ กล่าวว่า หลังจากได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือจากลูกหนี้ จึงติดต่อกับกลุ่มพิทักษ์สิทธิว่าจะให้ความช่วยเหลือในการฟ้องคดีแบบกลุ่มกับบริษัทดังกล่าว เพราะจากการตรวจสอบพบว่าบริษัทฯ ให้กู้ยืมเงิน โดยมีการจำนำทะเบียนรถไว้ ซึ่งส่วนมากเป็นรถจักรยานยนต์ ทำให้เงินต้นที่ผู้เสียหายกู้มาถูกบวกกับค่าธรรมเนียมและค่าประกันภัยไปตั้งเป็นเงินต้น โดยระบุอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.50 ต่อเดือน 1.75 ต่อเดือน และ 2.50 ต่อเดือนตามลำดับ รวมแล้วสูงถึงร้อยละ 18 ต่อปี 21 ต่อปี และ 30 ต่อปีตามลำดับ ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงต้องฟ้องเป็นคดีแบบกลุ่มเพื่อให้ทุกคนที่ไปกู้ยืมเงินกับบริษัทนี้ได้รับการคุ้มครองไปด้วย
ถึงแม้การดำเนินธุรกิจเงินติดล้อจะได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง หากเป็นหนี้ที่มีหลักประกัน จะไม่สามารถเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีได้ ถือว่าผิดกฎหมายและดอกเบี้ยที่ผิดกฎหมายสามารถเรียกคืนได้
นางสาววาสนา เนินสลุง ตัวแทนกลุ่มผู้เสียหายที่กู้ยืมเงินกับ บมจ. เมืองไทยแคปปิตอล กล่าวว่า ไปกู้ยืมเงินจำนวน 25,000 บาท โดยเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ และได้ให้คู่มือรถจักรยานยนต์ไว้เป็นประกันการกู้ยืม รวมทั้งเซ็นโอนลอยรถจักรยานยนต์ไว้ อีกทั้งต้องจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เป็นเงินจำนวน 1,803 บาท จากนั้นได้ชำระดอกเบี้ยไป 3 งวด แต่ไม่ได้ชำระในงวดที่ 4 เนื่องจากคลอดบุตร บริษัทฯ จึงติดตามทวงถามที่บ้านและแจ้งว่าถ้าไม่ไปชำระบิดาและมารดาจะติดคุก อีกทั้งยังไปติดกระดาษที่บ้านของมารดาว่าให้ติดต่อตัวเองเพื่อให้ไปชำระหนี้ จำนวน 26,790 บาทกับค่าปรับอีก 804 บาท รวมเป็นเงินที่ต้องชำระ 27,564 บาท จากนั้นจึงได้แจ้งขอชำระดอกเบี้ยแต่บริษัทฯ ไม่ยินยอมให้ชำระ
นายศุภวุฒิ อยู่วัฒนา ทนายความ
ด้านนายศุภวุฒิ อยู่วัฒนา ทนายความที่ปรึกษากลุ่มพิทักษ์สิทธิลูกหนี้ กรณีของผู้เสียหายกลุ่มนี้ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าบริษัทไม่ส่งมอบสัญญาให้ผู้กู้และไม่แจ้งว่าคิดดอกเบี้ยเท่าไร แต่ใช้วิธีบอกว่าผู้กู้ต้องคืนดอกเบี้ยเป็นเงินจำนวนเท่าไรแทนในระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งเมื่อคำนวณดอกเบี้ยร้อยละ 2.4 ต่อเดือนจะเท่ากับร้อยละ 28 ต่อปีเลยทีเดียว หากผู้กู้ไม่สามารถชำระเงินกู้และดอกเบี้ยคืนได้ภายในกำหนด บริษัทฯ จะดำเนินการยึดรถที่โอนลอยไว้หรือเรียกให้ชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยคืนโดยทันที
นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิ
ขณะที่นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิ กล่าวว่า สินเชื่อจำนำทะเบียนรถหรือสินเชื่อ Car for Cash นั้น ยังไม่พบว่าอยู่ภายใต้การกำกับของหน่วยงานใด หากผู้ประกอบธุรกิจการกู้ยืมเงินที่มีการจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ ต้องใช้เกณฑ์ในการคิดตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่คิดได้ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปีเท่านั้น ซึ่งการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจทั้งสองบริษัท อาจเข้าข่ายมีความผิดตาม พรบ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำและปรับ อีกทั้วได้รับทราบว่ากระทรวงการคลังกำลังจัดทำ (ร่าง) พระราชบัญญัติการกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงิน พ.ศ. ... ซึ่งในร่างกฎหมายฉบับนี้มีบทกำหนดโทษหากผู้ประกอบธุรกิจฝ่าฝืนกฎหมาย และอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็น จึงขอเสนอให้กระทรวงการคลังเร่งพิจารณาการกฎหมายดังกล่าว
“ขณะนี้การทำธุรกิจสินเชื่อประเภทการจำนำทะเบียนรถมีมากมาย และยังไม่มีเกณฑ์ในการกำหนดว่าให้คิดดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมเท่าไร จึงอยากฝากถึงผู้บริโภคที่จำเป็นต้องใช้เงินว่าควรตรวจสอบอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมต่างๆ ของบริษัทก่อนว่าคิดเกินร้อยละ 15 ต่อปีหรือไม่ ส่วนผู้บริโภคที่ได้รับทราบข่าวแล้วตรวจสอบพบว่ามีปัญหาเหมือนกับกลุ่มผู้เสียหายสามารถแจ้งมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้” นางนฤมลกล่าว
ผู้บริโภคที่ตรวจสอบพบว่ามีปัญหาเหมือนกับกลุ่มผู้เสียหายสามารถแจ้งมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยเตรียมเอกสารรับเรื่องร้องเรียนจำนำทะเบียนรถมาดังนี้
1. สัญญาเงินกู้
2. ใบเสร็จรับเงินการจ่ายหนี้
3. สำเนาบัตรประชาชน
4. เอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง
ร่วมติดตาม Facebook LIVE แถลงข่าว "เปิดโปง 2 บริษัทดัง จำนำทะเบียนรถ" ย้อนหลัง ได้ที่ เฟซบุ๊กมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค