ขึ้นราคา'แอลพีจี''ปตท.'กำไรเพิ่ม5.7พันล.

หุ้นบิ๊กแคป บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)(บมจ.) ( PTT) กลับมาวิ่งร้อนแรงอีกครั้งจากการตอบรับข่าวดีของนักลงทุนกรณีรัฐบาลมีนโยบาย ปรับขึ้นราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน

ซึ่งจะส่งผลบวกต่อกำไรของปตท. เรื่องดังกล่าวจะมีความชัดเจนหลังจากการประชุมของสำนักนโยบายและแผนพลังงาน ช่วงปลายเดือนธันวาคมนี้  โดยถ้าผลการประชุมสอดคล้องกับคณะรัฐมนตรี(ครม.) คาดว่าจะมีการปรับขึ้นราคาก๊าซในช่วงเดือนมกราคม หรือกุมภาพันธ์ 2556
ขณะที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์คาดการณ์ปี 2556 กำไรปตท.จะเพิ่มขึ้น 10-12 % หรือหากมีการปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี 6 บาทต่อกิโลกรัม จะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นประมาณ 5.7 พันล้านบาท จากผลบวกดังกล่าวทำให้นักวิเคราะห์แนะนำให้"ทยอยสะสม"หุ้นปตท.โดยให้ราคา เหมาะสม  389 และ392 บาทต่อหุ้น 

ทั้งนี้บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)ฯ วิเคราะห์ว่า หากมีการปรับขึ้นราคาก๊าชแอลพีจี ตามแนวทางที่รัฐบาลกำหนด จะทำให้ปตท.ไม่ต้องแบกรับผลการขาดทุน จากปัจจุบันที่ปตท.ขายก๊าซแอลพีจีต่ำกว่าต้นทุน เนื่องจากมีการกำหนดราคาเพดานขายไว้ โดยตามแผนรัฐบาลคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มราคาแอลพีจีภาคครัวเรือน ในอัตราเดือนละ 0.50 บาท ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2556 เป็นต้นไป เป็นระยะเวลา 12 เดือน และจะส่งผลให้ราคาก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก 18.13 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 24.13 บาทต่อกิโลกรัม

"ประเมินเบื้องต้นว่า หากมีการปรับราคาก๊าซแอลพีจีขึ้นทุกๆ 0.50 บาท จะส่งผลบวกต่อกำไรปตท.ประมาณ 457 ล้านบาท หรือประมาณ 5.7 พันล้านบาท หากมีการปรับขึ้น 6 บาทต่อกิโลกรัม โดยในส่วนนี้ยังไม่ได้รวมอยู่ในประมาณการที่ทำไว้" บทวิเคราะห์บล.เมย์แบงก์  กิมเอ็ง ฯ ระบุ
สำหรับคำแนะนำการลงทุนในหุ้นปตท. โบรกเกอร์รายนี้ แนะให้"ทยอยสะสม" โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 392 บาท โดยประเมินว่าหุ้นPTT  ยังมีมูลค่าที่ค่อนข้างต่ำ อีกทั้งหากมีการปรับขึ้นราคาแอลพีจี  ตามแนวทางของรัฐบาล ที่เตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)ภายใน เดือนธันวาคมนี้ จะทำให้ไม่ต้องแบกรับผลขาดทุน จากปัจจุบันที่ขายต่ำกว่าต้นทุน นอกจากนี้ยังเห็นว่าราคาหุ้นปตท.ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลครึ่งหลังปี 2555 ที่หุ้นละ 8.00 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.4%
ด้านบล.ธนชาตฯ วิเคราะห์ว่า จากกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมีนโยบายปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัมในปีหน้า แต่ยังไม่มีนโยบายปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีในปีหน้านั้น มองว่าข่าวดังกล่าวเป็นลบต่อปตท. แต่ก็ไม่ได้อยู่เหนือการคาดหมาย โดยในกรณีการปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี ปตท. จะไม่ได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นราคา เนื่องจากเป็นการปรับขึ้นราคาปลีก ขณะที่ปตท. เป็นผู้ค้าส่ง ซึ่งยังคงถูกกำหนดราคาเพดานไว้ที่ 330 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน


ทั้งนี้การปรับขึ้นราคาจะช่วยลดผลขาดทุนของกองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซเอ็นจีวีนั้นนอกจากจะไม่ได้รับเงินอุดหนุนแล้ว ปตท. อาจจะต้องลงทุนเปิดสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นโดยปัจจุบันปตท.มีผลขาดทุน 5.0-5.5 บาทต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 2 หมื่นล้านบาทในปี 2555

ฝ่ายวิจัยบล.กสิกรไทยฯ  ได้ตั้งสมมติฐานจากประเด็นสำคัญข่าวเรื่องการลอยตัวราคาก๊าซแอลพีจี และก๊าซเอ็นจีวีว่า หากมีการเพิ่มขึ้นของราคาก๊าซแอลพีจี ทุกๆ 10% คาดว่ากำไรปตท.จะเพิ่มขึ้น 2% ถ้าหากเป็นไปตามข่าวที่จะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นไปที่ 550 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน  คาดการณ์กำไรปตท.เพิ่มขึ้น 10-12% ในปี 2556 ขณะที่ถ้าหากราคาก๊าซเอ็นจีวี มีการปรับขึ้นทุกๆ 1 บาทต่อกิโลกรัม คาดว่ากำไรปตท.เพิ่มขึ้น 2% ในปี 2556

ขณะที่ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปตท.ถือว่าปรับตัวต่ำกว่าตลาดโดยรวม แต่คาดว่าหลังจากเรื่องความชัดเจนของการเพิ่มทุนของบมจ.ปตท.สำรวจและผลิต ปิโตรเลียม ( PTTEP ) และการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลในส่วนราคาก๊าซแอลพีจี และก๊าซเอ็นจีวี จะมีผลต่อการปรับประมาณการกำไรของนักวิเคราะห์(consensus)

บทวิเคราะห์บล.กสิกรไทยฯ ระบุว่า ถึงแม้เรื่องดังกล่าวยังคงมีความเสี่ยงอยู่ แต่ระดับราคาหุ้นปตท.ปัจจุบันมองว่าได้มีการรับรู้ปัจจัยข่าวไปแล้ว จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่มูลค่าพื้นฐาน 389 บาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32
ฉบับที่ 2,801 วันที่  16-19  ธันวาคม พ.ศ. 2555

พิมพ์ อีเมล

บทความใกล้เคียงกัน