มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับไบโอไทย และเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ระบุเนื้อหมูแพงเพราะ “การรวมศูนย์ของการผลิตเนื้อสัตว์”

ภาพข่าวตีแผ่สาเหตุวิกฤตเนื้อหมูราคาแพง1

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับไบโอไทย และเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ตีแผ่สาเหตุที่ผู้บริโภคไทยต้องซื้อหมูราคาแพง เพราะการรวมศูนย์ของการผลิตเนื้อสัตว์ ปิดข่าวโรคระบาดหมูเพื่ออุ้มนายทุนส่งออก และเกษตรกรเลี้ยงหมูลดลง เหตุแบกรับความเสี่ยงจากโรคระบาดจนล้มละลาย เสนอการแก้ไขปัญหาในระยะยาว ให้รัฐสนับสนุนส่งเสริมการผลิตขนาดเล็ก กระจายตัวให้เกิดการเชื่อมโยงอาหารในระดับท้องถิ่น

          จากกรณีที่เนื้อหมูมีราคาแพง และขาดตลาดมาตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค. 64 ทำให้ร้านค้า ร้านอาหาร ปรับขึ้นราคาอาหารที่มีเนื้อหมูเป็นส่วนประกอบประมาณ 5-15 บาท และอาจขยับขึ้นอีกครั้งในช่วงตรุษจีน ส่งผลกระทบกับค่าใช้จ่ายประจำวันของผู้บริโภคอย่างมาก ทำให้สังคมต้องการทราบสาเหตุของการขึ้นราคาเนื้อหมูจนสูงเกินครึ่งของค่าแรงขั้นต่ำ

          นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) กล่าวว่า ราคาหมูในระดับโลกไม่ได้สูงขึ้น ตามดัชนีขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ตรงกันข้ามราคากลับมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ประเทศที่ราคาเนื้อหมูสูงขึ้นมีแค่สหรัฐอเมริกาและไทย ในสหรัฐฯ ราคาต้นทุนไม่ได้เพิ่ม แต่ราคาหมูกลับแพงขึ้น แต่ถ้าเทียบกับค่าครองชีพของไทยแล้วก็ยังต่ำกว่า ราคาในไทยอยู่ที่กก.ละ 200 บาท ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำในเขตกรุงเทพฯ คือ 331 บาท จึงเป็นการจ่ายค่าอาหารในสัดส่วนที่สูงมาก เมื่อเทียบกับสหรัฐแล้ว ไทยจ่ายแพงกว่าเกือบ 5 เท่าตัว

          สาเหตุของปัญหาหมูแพงในสหรัฐ ทำเนียบขาววิเคราะห์ว่าเกิดจากการรวมศูนย์ของบริษัทผลิตเนื้อสัตว์ในสหรัฐ ซึ่งมีอยู่ 3-4 บริษัท เป็นผู้กำหนดราคาเนื้อหมูในแผงและร้านค้าปลีก เกษตรกรไม่ได้ประโยชน์จากราคาหมูที่เพิ่มขึ้น กรณีในประเทศไทยคล้ายกับในสหรัฐแต่หนักกว่า การรวมศูนย์ของอุตสาหกรรมการผลิตเนื้อสัตว์ ทั้งในหมู ไก่ และไข่ อยู่ในมือของบริษัทขนาดใหญ่แทบตลอดห่วงโซ่การผลิต ครอบคลุมการผลิตอาหารสัตว์ และการกระจายตลาด คือ จุดจำหน่าย บริษัทใหญ่แห่งเดียวนี้มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 1 ใน 3 ของประเทศ โครงสร้างนี้ทำให้ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ได้ประโยชน์ แต่เกษตรกรไม่ได้ประโยชน์จากราคาหมูที่แพงขึ้นเลย

          รากฐานของปัญหาเนื้อหมูราคาแพงและขาดแคลนในไทย ประมวลจากการให้สัมภาษณ์ของเกษตรกร ปัจจัยที่ 1 คือ ปริมาณหมูหายไปจากตลาด ซึ่งเกิดจาก 1) ปริมาณหมูที่เลี้ยงลดลงไปประมาณร้อยละ 50-70 เนื่องจากโรคระบาดหมูที่เรียกว่า โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF (African Swine Fever) โรคนี้แพร่กระจายในเอเชีย ขณะที่ประเทศรอบข้างทั้งหมดพบการระบาดของโรค  แต่ในประเทศไทยกลับไม่มีรายงานการระบาดหรือการยอมรับการระบาดของโรคนี้เลย กรมปศุสัตว์ชี้แจงว่าโรคที่เกิดขึ้นเป็นโรคเพิร์ส หรือ PRRS ไม่ใช่โรคอหิวาต์แอฟริกา ขณะที่อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติระบุว่า โรคอหิวาต์แอฟริกานี้เกิดขึ้นตั้งแต่ 3 ปีก่อน และมีความพยายามที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลนี้ เพื่อเอื้อการส่งออกของผู้ประกอบการบางราย ประเทศที่ไม่ยอมรับการระบาดของโรคภายในประเทศจึงมีโอกาสในการส่งออกหมู ซึ่งเป็นสาเหตุที่ 2) ไทยส่งออกเนื้อหมูเป็นจำนวนมาก ทั้งเนื้อหมูและแม่พันธุ์หมู ทำให้หมูปริมาณลดลง ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาส่งออกหมู 3 ถึง 4 เท่าตัวของการส่งออก เป็นปีทองของผู้ส่งออกเนื้อหมูบริษัทใหญ่ของไทย มีกำไรพุ่งขึ้นมหาศาล ปัจจัยที่ 2 การรวมศูนย์ของการผลิตเนื้อสัตว์ เมื่อเกิดโรคระบาด เกษตรกรรายย่อยจะล้มหายไป จากตัวเลขของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เกษตรกรที่เลี้ยงหมูเมื่อ 4-5 ปีก่อนมีประมาณ 150,000 ราย แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 80,000 ราย การเลี้ยงหมูที่ยังอยู่กลายเป็นรวมศูนย์ผู้ผลิตรายใหญ่มากกว่ารายย่อย เมื่อเจอภาวะโรคระบาดก็จะล้มละลายไป ที่อยู่ได้คือผู้ที่มีสายป่านใหญ่ และได้โอกาสของผู้ที่ส่งออกได้จากการเจอโรคระบาด

          การปิดข่าวโรคระบาดหมู มีเพียงไม่กี่บริษัทที่ได้ประโยชน์ แต่คนในประเทศต้องกินหมูราคาแพงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับการปกปิดโรคไข้หวัดนก เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่การปิดข่าวหลายเดือนส่งผลให้ไก่ตายเป็นจำนวนมาก ต่างประเทศยุติการนำเข้าไก่ แม้กระทั่งไก่สุก ต้องใช้เวลาฟื้นตัวพอสมควร

          นายอุบล อยู่หว้า เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก กล่าวว่า บริษัทใหญ่ใช้วิธีผลักภาระความเสี่ยงในการตายและติดโรคของหมูไปให้เกษตรกรแบกรับ เนื่องจากหมูจำนวนมากผลิตในระบบเกษตรพันธสัญญา (contract farming) ที่ให้รับแม่พันธุ์จากบริษัทไปผลิตลูก หรือรับลูกหมูน้ำหนักเฉลี่ยตัวละ 6 กก. ไปเลี้ยง เมื่อหมูน้ำหนัก 80-100 กก. ต้องนำมาขายให้บริษัท บริษัทก็จะจ่ายค่าตอบแทนให้ตามน้ำหนักหมู แต่เมื่อหมูติดโรคแล้ว เกษตรกรต้องยอมให้เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ทำลายทั้งหมด มีกรณีที่เกษตรกรต้องทำลายหมูทั้ง 60 ตัวที่เลี้ยงไว้ เพราะถ้าหมูตายตามธรรมชาติเกษตรกรจะไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้ายอมให้ปศุสัตว์ทำลาย อาจจะได้เงินชดเชยบางส่วน แต่ท้ายที่สุดเมื่อได้ค่าตอบแทนต่ำลง เกษตรกรก็แบกรับไม่ไหว ล้มเลิกไปในที่สุด ระบบนี้เป็นความสัมพันธ์ของการผลิตที่ไม่เป็นธรรม เพราะเกษตรกรต้องเผชิญความเสี่ยงกับอัตราการตายจากโรคระบาดของหมูอยู่ฝ่ายเดียว เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูกับผู้บริโภคปลายทางจะเป็นผู้แบกรับ แต่บริษัทใหญ่ไม่ได้เสี่ยงอะไรเลย

          บริษัทใหญ่ผูกขาดในอุตสาหกรรมการผลิตเนื้อหมู ควบคุมตั้งแต่พันธุกรรม ปัจจัยการผลิต อาหาร ยาเวชภัณฑ์ และจัดการตลาดหมู ตั้งแต่ขายหมูมีชีวิตให้กับเขียงหมูเอกชน ประชาชนทั่วไปตามอำเภอ แล้วบริษัทก็ทำโรงเชือด โรงตัดแต่งเนื้อหมู ป้อนเนื้อหมูออกสู่ตลาด ไปจนถึงทำร้านขายปลีกเนื้อหมู อีกทั้งยังสามารถจัดสรรทรัพยากรในระดับโลก เมื่อเห็นว่าหมูในประเทศมีปัญหา ก็เข้าไปครอบครองการผลิตเนื้อหมูในต่างประเทศที่ได้เปรียบ หรือนำหมูของบริษัทที่อยู่ต่างประเทศเข้ามาขาย ถือความได้เปรียบตลอดเวลา นำมาซึ่งการทำลายผู้เลี้ยงหมูรายย่อย

          “ไม่ว่าจะค้าหมูหรือกินเนื้อหมูที่ไหน ก็อยู่ภายใต้สายพานที่บริษัทใหญ่ควบคุมอยู่โดยส่วนใหญ่ ประเทศเราเป็นอย่างนั้นไปแล้ว” นายอุบลกล่าว

          เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก เสนอการแก้ไขปัญหาในระยะยาวว่า รัฐควรสนับสนุนส่งเสริมการผลิตขนาดเล็กให้กระจายตัว ให้เกิดการเชื่อมโยงอาหารในระดับท้องถิ่น สร้างสายพานอาหารการบริโภคแบบสั้นๆ ในท้องถิ่นที่หลากหลาย แล้วก็กระจายตัวตามวัฒนธรรม ทรัพยากรชีวภาพของท้องถิ่น เพื่อความมั่นคงภายใน เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ และความปลอดภัย แต่ถ้าเป็นจังหวัดใหญ่ที่มีคนจากทั่วโลกมาเที่ยว ก็ควรมีระบบอาหารที่หล่อเลี้ยงตัวเองภายในพอสมควร ให้หมูกินพืชที่ปลูกในท้องถิ่นเป็นเนื้อหมูที่นำมาบริโภค รวมกับสายพานอาหารขนาดใหญ่ที่จะขนหมูจากราชบุรี นครปฐม ไปชำแหละที่นั่น เพื่อรองรับการท่องเที่ยวและการบริโภคแบบอุตสาหกรรม

          นางสาวกชนุช แสงแถลง ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) กล่าวว่า ไม่ว่าเนื้อหมูจะแพงด้วยสาเหตุอะไร สุดท้ายผู้บริโภคก็เป็นผู้รับชะตากรรมที่ต้องซื้อของแพง เพราะอาหารเป็นปัจจัยสี่ เนื้อหมูเป็นสินค้าที่จำเป็น ครั้งนี้แน่นอนว่าสาเหตุหนึ่งคือโรคระบาด แต่อีกส่วนหนึ่งคือการผูกขาดแบบครบวงจรของทุนใหญ่ ตั้งแต่ห่วงโซ่การผลิต จนถึงการจัดจำหน่าย ซึ่งสามารถกำหนดและควบคุมได้ทั้งหมด จะส่งออกเท่าไร เหลือจำหน่วยในประเทศเท่าไร เมื่อของมีน้อยแต่ความต้องการมีมาก ราคาก็ต้องแพง ราคาเท่าไรก็ต้องยอมรับ และอย่าแนะนำให้ไปกินอย่างอื่นแทน เพราะแต่ละคนมีข้อจำกัดไม่เหมือนกัน บางคนมีปัญหาเรื่องระบบย่อยอาหาร บางคนไม่ทานเนื้อวัว บางคนไม่ทานเนื้อไก่ที่อาจปนเปื้อนเชื้อดื้อยาหรือมีปัญหาสุขภาพ และที่สำคัญคือผู้บริโภคมีสิทธิ์เลือก ส่วนการแก้ปัญหานั้น รัฐควรส่งเสริมเกษตรกรรายย่อย เพื่อกระจายการผลิตได้อย่างทั่วถึง และเกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ลดปัญหาการผูกขาด ป้องกันปัญหาสินค้าขาดตลาดและมีราคาแพง

Tags: มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, มูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI), เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก, ขึ้นราคา, หมูแพง

พิมพ์ อีเมล