ธนาคารกรุงไทยเจ็บ มั่วหักเงินฝรั่งออสเตรเลียศาลสั่งชดใช้ 2.5 แสน

ฝรั่งออสเตรเลียฟ้องธนาคารกรุงไทย ฐานหักค่าใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตรทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้ใช้ เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 1.25 แสน ศาลพิพากษาธาคารผิดจริงให้จ่ายค่าเสียหายตามที่เรียกพร้อมค่าเสียหายเชิงลงโทษอีก 120,000 บาท

 


เมื่อวันที่  7  พฤศจิกายน  2555  เวลา 09.30 น. ณ ห้องพิจารณาคดี 8  ศาลแขวงพระนครใต้  ศาลชั้นต้นออกนั่งบัลลังก์พิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ ผบ. 1711/2555  คดีระหว่าง นายเจฟฟรี จี เอเลน  โดยนายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ และ นางสาวรัชนีวรรณ พาพันธุ์เรือง ผู้รับมอบอำนาจโจทก์  ยื่นฟ้อง ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  ต่อศาลแขวงพระนครใต้   เรียกค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 125,357.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยหักเงินจากบัญชีของโจทก์  กรณีธนาคารกระทำการผิดสัญญาฝากทรัพย์และผิดสัญญาการใช้บัตรเดบิตต่อผู้บริโภคที่ใช้บริการ


โดยศาลพิพากษาให้ ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) จ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายให้นายเจฟฟรี จี เอเลน  เป็นเงินจำนวน 125,357.11 บาท พร้อมสั่งให้ ธนาคารกรุงไทย จ่ายค่าเสียหายเชิงลงโทษตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 เนื่องจากพบว่ามีการกระทำที่มีเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม เพิ่มอีก 120,599.35 บาท  รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 245,956.46 บาท


จากกรณีเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2554 นายเจฟฟรี ฯ สัญชาติออสเตรเลีย ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ผู้ถือบัตรเดบิตของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ตรวจสอบบัญชีเงินฝากธนาคารที่ตนมีอยู่ และพบว่ายอดเงินในบัญชีลดลงโดยที่ตนเองไม่ได้ใช้   ซึ่งทราบว่ามีผู้ลักลอบถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของตนเพื่อใช้บริการซื้อสินค้าที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงระหว่างวันที่ 8 สิงหาคม 2554  ถึงวันที่ 5 กันยายน 2554 เป็นจำนวนเงินรวม 120,599.35 บาท  ซึ่งการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นการใช้จ่ายที่ต้องใช้บัตรเดบิตประกอบการลงลายมือชื่อด้วยตนเอง มิใช่การซื้อสินค้าและบริการที่ชำระด้วยการโอนเงินโดยใช้บัตรประกอบรหัสประจำตัวได้ โดยที่ในช่วงเวลาที่มีการใช้บัตรเดบิตดังกล่าว นายเจฟฟรี ฯ พักอาศัยอยู่ในประเทศไทย มิได้เดินทางออกนอกประเทศแต่อย่างใด


ต่อมาธนาคาร ได้ตรวจสอบรายการค่าใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต และปฏิเสธการคืนเงิน โดยอ้างว่าการตรวจสอบของธนาคารไม่พบความผิดปกติ การใช้ดังกล่าวเป็นการใช้บัตรเพื่อซื้อสินค้าและบริการตามปกติ ไม่ใช่การทำธุรกรรมของมิจฉาชีพ จึงไม่สามารถคืนเงินให้แก่นายเจฟฟรี ฯ ได้  นายเจฟฟรี ฯ ไม่มีทางใดจะเรียกคืน จึงต้องฟ้องต่อศาลเป็นคดีผู้บริโภค เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2555  โดยศาลชั้นต้นใช้เวลาดำเนินกระบวนพิจารณารวม 4 เดือน


ศาลชั้นต้นพิเคราะห์พยานหลักฐานและข้อเท็จจริงแล้วรับฟังได้ว่า    กรณี นี้จำเลยยอมรับว่ามีผู้นำบัตรเดบิตที่จำเลยออกให้โจทก์ ไปใช้ในต่างประเทศจริงและทราบด้วยว่าใช้ที่ไหนบ้าง ซึ่งในการให้บริการดังกล่าวจะต้องมีเซลล์สลิปการใช้บริการหรือลายมือชื่อ ลูกค้าเป็นหลักฐาน แต่จำเลยกลับไม่นำหลักฐานดังกล่าวมาแสดงต่อศาล อีกทั้งพยานจำเลยยังเบิกความย้ำว่า จากประสบการณ์ทำงานที่ยาวนานสันนิษฐานได้ว่า กรณีที่เกิดขึ้นนี้ เกิดจากการถูกขโมยบัตรเดบิตไปใช้จริง ซึ่งหากมีกรณีบัตรถูกขโมยไปใช้นั้น ธนาคารจะไม่ชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามสัญญาให้บริการ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกับข้ออ้างของโจทก์ที่ยืนยันว่าโจทก์ไม่ได้ เป็นผู้ใช้ดังกล่าว

 

ดังนั้นเมื่อจำเลยไม่มีหลักฐานมาแสดงต่อศาลเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง ว่าโจทก์เป็นผู้ใช้เองหรือมอบหมายให้บุคคลอื่นนำไปใช้ จำเลยจึงไม่มีสิทธินำรายการดังกล่าวมาหักเงินจากบัญชีธนาคารของโจทก์ เมื่อจำเลยหักเงินจากบัญชีธนาคารของโจทก์ไปแล้ว จำเลยจึงต้องคืนเงินที่หักไปจากบัญชีของโจทก์ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยหักเงินไปจากบัญชีของโจทก์ และการที่จำเลยทราบอยู่แล้วว่า กรณีนี้เกิดจากมีบุคคลอื่นขโมยบัตรเดบิตของโจทก์ไปใช้ เมื่อโจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยกลับปฏิเสธไม่คืนเงินดังกล่าว จึงถือว่าจำเลยมีเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมพิพากษาให้ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จ่ายเงินชดเชยความเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 120,599.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 120,599.35 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ และให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายเชิงลงโทษ ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 อีก 120,599.35 บาท รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 245,956.46 บาท และให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมต่อศาลแทนโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี กำหนดค่าทนายความโจทก์ 5,000 บาท

นายเจฟฟรี จี เอเลน ผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหาย กล่าวว่า  “ รู้สึกพอใจกับคำพิพากษาของศาลไทยเป็นอย่างมาก ผมดีใจที่ได้ความยุติธรรมกลับคืนมา เนื่องจากการจ่ายเงินคืนของธนาคารเป็นการกระทำที่เอาเปรียบผู้บริโภคมาก ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวมีความจำเป็น แม้จะไม่มากมายแต่ก็เป็นเงินเพื่อใช้ในการยังชีพของผมที่อายุมากและภรรยา  ซึ่งผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ต้องเจอแบบนี้เหมือนกัน อยากให้ธนาคารให้ความสำคัญกับผู้บริโภคมากกว่านี้  ”


นายเฉลิมพงษ์  กลับดี หัวหน้าศูนย์ทนายความอาสามูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยว่า กรณีนี้เป็นคดีตัวอย่างสำหรับผู้บริโภค ที่ถูกธนาคารในฐานะผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบและจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะการกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษกับธนาคาร  ที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีของการป้องปรามหรือยับยั้งไม่ให้ผู้ประกอบการทำเช่นนี้กับใครอีก โดยเฉพาะการที่จำเลยในคดีนี้เป็นรัฐวิสาหกิจควรต้องมีการประกอบการที่สุจริตเป็นที่น่าเชื่อถือต่อนานาชาติ


 

“ในคดีนี้กระบวนพิจารณาของศาลก็รวดเร็ว โดยใช้เวลาเพียง 4 เดือนเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคอย่างแท้จริง ทำให้ผู้บริโภคได้รับการเยียวยาอย่างทันท่วงทีโดยไม่ต้องรอนาน ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย  ทั้งนี้ศูนย์ทนายความอาสาฯ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จะนำผลของคดีนี้ไปศึกษา เพื่อขยายผลและสร้างให้เป็นบรรทัดฐานทางกฎหมายต่อไป ” นายเฉลิมพงษ์กล่าว

พิมพ์ อีเมล